April 27, 2012

เธอคนนั้น?

สวัสดีทุกท่านครับ ละจากการเขียนบล็อกไปเกือบ 2 สัปดาห์ครับ แหะๆ อันที่จริงแล้วผมเขียนเก็บไว้เป็น Draft ครับ ไม่ได้ Publish ออกมาครับ เพราะบางบทความมันสุ่มเสี่ยงแบบว่า เขียนไปขาอีกข้างก็อยู่ในคุกแระ (ฮา) เอาเถอะครับ ไว้ถึงเวลาที่ประเทศของเรา freedom of speech อย่างแท้จริง ผมคงมีโอกาสได้ Publish บท ความเหล่านั้นออกมาให้ได้อ่านกันครับ

เข้าเรื่องครับ วันนี้มีประสบการณ์ฮาๆ มาเล่าให้ฟังกันครับ สืบเนื่องจากเมื่อวาน(25/04/2012) ผมต้องไปส่งมาม๊า(แม่) ผมกลับบ้านครับ พอดีว่าแกมาตรวจสุขภาพที่กทม. แล้วจะนั่งรถไฟกลับ ผมเลยไปส่งแกขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง ผมเลิกจากงานก็เกือบทุ่มแล้ว เลยเลือกนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ไปลงที่สถานีหัวลำโพงเลย เพราะไวกว่ารถเมล์เยอะ (แต่ก็แพงใช้ได้เลยหล่ะ - -') และคิดว่านี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว กลัวจะไปส่งแกขึ้นรถไม่ทันเลยเลือกนั่ง mrt. ถึงสถานี้หัวลำโพงประมาณ 3 ทุ่มครึ่งกว่าๆแระ ม๊าผมนั่งรถไฟขบวน 4 ทุ่ม 45 เลยมีเวลาว่าง ผมก็นั่งไปคุยไปเรื่อยจนถึงเวลาใกล้รถออก

ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ้ง.. "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟขบวน...(จำไม่ได้) กรุงเทพ - สุราษฎานี/ยะลา ขณะนี้ รถไฟยังไม่พร้อมเทียบท่า ณ สถานีกรุงเทพ การรถไฟฯขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้"

ผมหันหน้ากลับไปหาม๊า ม๊าก็พูดขึ้นว่า "งี้แหล่ะ รถไฟไทย เอาไรมาก ถึงที่ก็พอแระ"

"ตูว่าแระ เคยมีสักขบวนมั้ย ที่มันจะตรงต่อเวลา ไม่ดีเลย์เนี่ย เห้อ" ผมพูดในใจ

แล้วผมกะป๊า ม๊าและน้องๆ ก็รอต่อไปเรื่อยๆ รอแล้วรอเล่า เวลาก็ใกล้เที่ยงคืนเรื่อย ผมก็ก็เริ่มหวั่นๆใจ เพราะรถไฟใต้ดินมีถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น เอาว่ะ เดี๋ยวค่อยต่อรถเมล์กลับก็ได้ว่ะ รอไปเรื่อยจนเวลาเลยเที่ยงคืนไปเรื่อยๆ จนกะทั่ง เสียงสวรรค์ดังขึ้นอีกรอบ

ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ้ง.. "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟขบวน...(จำไม่ได้) กรุงเทพ - สุราษฎานี/ยะลา ขณะนี้ ขณะนี้ขบวนรถไฟได้เทียบท่าที่ชานชลาที่ 5 แล้ว ขอให้ทุกท่านเตรียมสัมภาระของท่านขึ้นขบวนรถไฟได้ที่ชานชลาที่ 5 บลาๆๆ"

"รถไฟมาซะที เห้อ รอตั้งนาน" ผมพูดขึ้น เอาเถอะครับ นี้ยังดีน่ะ ที่รถออก 4 ทุ่ม 45 แต่ออกจริง เที่ยงคืน 45 ดีเลย์แค่ 2 ชั่วโมงเอง บางขบวน ผมเห็นที่บอร์ดเวลารถออก ดีเลย์เป็น 5 - 6 ชั่วโมง ยังมีเลยครับ นี้แค่ 2 ชั่วโมงดีแค่ไหนแล้ว

ส่งม๊า เสร็จเรียบร้อย แล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจครับ แต่ภาระกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ กำลังจะเกิดขึ้นครับ นั่นคือการนั่งรถกลับหอ อันที่จริง ถ้าผมนั่ง taxi กลับเรื่องพวกนี้ก็จะไม่เกิดครับ แต่ผมเป็นคนที่ไม่นั่ง taxi ครับ เพราะมันเปลืองและ(คิดว่า)อันตรายกว่าการนั่งขนส่งมวลชนจำพวก รถเมล์ มากกว่า

ต้องบอกไว้ก่อนว่า ผมมาหัวลำโพงก็หลายครั้งแล้ว (3 ครั้ง) แต่พึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ต้องกลับดึก เอาสิครับ ป้ายรถเมล์ก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน เพราะถ้าตอนกลางวัน เราเดินไปข้างๆ ก็จะมีป้ายรถเมล์อยู่เลย แต่นี่ดึกแล้ว รถไม่เข้าป้ายนี้แล้ว เลยลอง Whatsapp ถามเพื่อนดู เพื่อนก็บอกว่าให้เดินออกไปที่ที่รถแท็กซี่จอดเยอะๆ ผมเลยลองเดินดูออกไป ก็เจอป้ายรถเมล์ครับ เลยนั่งรอรถที่นั่น แบตโทรศัพท์ก็ใกล้หมดเต็มที

เวลาขณะนั้นใกล้ตี 1 แระ คนรอรถเมล์มีประมาณแค่ 3 - 4 คนเท่านั้น รอได้ประมาณ 15 นาทีก็มีรถเมล์ผ่านเข้ามา คนก็ขึ้นกันหมด เงียบสิทีนี้ เหลือผมกะลุงที่ขายของของชำจำพวกบุหรี่ ยาดมอะไรนั้นอยู่ 2 คน บรรยากาศเงียบลงทันที แบตโทรศัพท์ก็ใกล้หมด อากาศเริ่มร้อน ผมเหงื่อแตกจนรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังที่สะพายกระเป๋าอยู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจก็ร้อนรน เพราะกังวลแต่เรื่องความปลอดภัย ประกอบกับเงินประจำเดือนที่ได้จากม๊ามา ซึ่งผมมักไม่ค่อยพกเงินสดมากขนาดนี้ มันทำให้กังวลไปอีกชั้นหนึ่ง

ผ่านไปสักพัก ก็เริ่มมีคนมารอรถเมล์มากขึ้น ผมก็ค่อยๆ โล่งใจมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนรอรถเมล์เป็นเพื่อนหลายคนอยู่ ความชื้นใจยังไม่ทันได้จางหาย ผมสังเกตเห็นรถเก๋งสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดเทียบป้ายรถเมล์ เขาเลื่อนกระจกลงช้าๆ สังเกตได้ว่า เขาขับมาคนเดียว เป็นผู้หญิงหน้าตามธรรมดาๆ เมื่อจอดรถปุ๊ป ก็เรียกคนแถวนั้นที่รอรถเมล์อยู่ไปถามอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่ลงจากรถน่ะ เขาพูดโดยที่ตัวอยู่ในรถนั่นแหล่ะ ปากก็พูดไปเรื่อยๆ เรียกคนไปเรื่อยๆ แต่สังเกตได้ว่า เขาเรียกเฉพาะ "ผู้ชาย" เข้าไปคุยด้วย ผมค่อนข้างกอยู่ไกลจากที่เขาจอดรถ เลยไม่ค่อยได้ยินที่พูดกัน เห็นเพียงแต่กิริยาเท่านั้น ผ่านไปสักพัก คนแถวๆนั้นเริ่มปลีกตัวออกจากรถที่เขาจอดอยู่ เขาเรียกใครเข้าไปคุย ก็ไม่มีใครเข้าไป ผมสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ได้ จึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ

เวลาล่วงเลยมาเรื่อยๆ จนประมาณเกือบๆตี 2 ผมรอรถเมล์มาชั่วโมงกว่าแล้ว พี่ผู้ชายข้างๆ ผมที่ยืนรอมาด้วยกัน เริ่มรอไม่ไหว เลยถามลุงที่ขายของชำแถวนั้น

"เออลุง เมื่อไหรรถเมล์ที่ผ่านอนุเสาวรีย์ มันจะผ่านมาทางนี้มั่งเนี่ย ผมรอมานานแล้ว" พี่เค้าถามไป

"อ่าว จะไปอนุเสาวรีย์หรอ?" ลุงถามกลับ

"ครับ ผมจะไปต่อรถที่อนุเสาวรีย์" พี่ผู้ชายตอบกลับอย่างไว

"คุณมารอที่นี่ก็ศูนย์เปล่า ป้ายนี้กลางคืนรถที่ผ่านอนุเสาวรีย์จะไม่ผ่านป้ายนี้ คุณต้องเดินไปข้างหน้าอีกป้าย ข้ามไฟแดงข้างหน้าไป จะมีอีกป้ายนึง ตรงนั้นรถเมล์สาย 29 34 จะผ่าน" ลุงตอบ

"อ่อหรอครับ ครับๆ ขอบคุณมาก ผมก็อุส่าห์รอตรงนี้เป็นชั่วโมง ขอบคุณมากครับ" พี่ผู้ชายตอบขอบคุณลุงไป พลางเดินจากไปยังป้ายรถเมล์ข้างหน้า

"ฉิบหาย นี่ผมรอไปชั่วโมงกว่าๆเนี่ย เปล่าประโยชน์เลยหรอเนี่ย" ไอผมก็รถนึกว่ารถมันมาช้า ที่ไหนได้ ผมรอผิดป้าย นี่ถ้าไม่ได้พี่คนนี้คุยกับลุง ผมก็ไม่รู้น่ะเนี่ย เวรกรรม ผมคิดในใจ

พี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็เดินนำไปแล้ว ผมเลยกำลังจะเดินตามไป แต่มองไปยังหนทางข้างหน้าแล้ว แทบไม่มีคนเดินเลย ร้านรวงแถวนั้นก็ปิดกันหมด เหลือเพียงไฟสลัวๆริมทางเท่านั้น บรรยากาศชักวังเวงเข้าไปทุกที

"เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน" ผมคิดในใจพลางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าไปยังป้ายรถเมล์ถัดไป ระหว่างที่ผมเดินไปอยู่นั้น รถเก๋งสีน้ำเงินเข้มคันที่จอดหน้าก็เดินเครื่องออกมาทันที ราวกับว่าตามผมมา ผมเดินออกมาจากป้ายนั้นได้ประมาณไม่เกิน 10 ก้าว ผู้หญิงขับรถสีน้ำเงินเข้มคันนั้นก็เอ่ยปากเรียกผมทันทีระหว่างที่ผมเดินอยู่

"นี่ เราอ่ะ" เธอเรียกผม แต่จากน้ำเสียงที่เธอเรียกนั้น ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ เธอคือ สาวประเภทสอง ครับ ผมพยายามก้าวเท้าให้ไวยิ่งขึ้น เพื่อให้ไปถึงอีกป้ายรถเมล์

"นี่ หันมาคุยกันก่อนสิ ชั้นช่วยได้น่ะ" เธอตะโกนผ่านหน้าต่างรถเก๋งมาหาผมอีกครั้ง ผมหันไปมองพร้อมยิ้มให้เล็กน้อย เอาสิครับ เกิดมายังไม่เคยเจอสาวประเภทสองมาฉอเลาะขนาดนี้เลย ใจผมเริ่มเต้นไวขึ้น เหงื่อก็พรั่งพรูออกมาเยอะแยะ จนเสื้อกล้ามที่ใส่ไว้ข้างในถึงกับเปียกเลยทีเดียว สายตาก็จับจ้องไปแต่ข้างหน้า ไม่กล้าหันไปสับตากับเธอ เธอขับรถตามผมมาเรื่อยๆ และพยายามที่จะขับให้เข้าใกล้ผมให้ได้ ผมเลยเดินชิดริมเข้าไปใกล้ๆกับบ้านที่อยู่ติดกับแนวถนน เพื่อให้ห่างจากริมถนนมากที่สุด

"นี่ คุยเป็นเพื่อนชั้นก่อน จะไปไหนอ่ะ" เธอตะโกนออกมาอีกครั้ง ผมเริ่มใจไม่ดีแล้ว ระหว่างที่เดิน เลยหยิบเอาหูฟังมันเสียบหูซะ เพื่อทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ไม่ได้เปิดเพลงหรอก เพราะ mp3 ที่พกมาก็ดันแบตหมดอีกด้วย อะไรมันซวยขนาดนั้น ผมรีบก้าวไปเรื่อยๆ เพื่อให้ถึงป้ายรถเมล์ให้เร็ว เพราะพี่ผู้ชายเสื้อแดง ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยพี่เค้าก็ "อาจจะ" ช่วยได้

ผมเดินเรื่อยๆ จนถึงไฟแดง ผมต้องหยุดรอ เพื่อให้รถอีกสายผ่านก่อน เธอคนนั้นเลยมีโอกาสตอนที่จอดไฟแดง ขับรถมาจอดไฟแดงใกล้ผมพอดี เธอเลื่อนกระจกลง ส่งสายตา "แปลกๆ" มาหาผม

"ให้ชั้นช่วยมั้ย จะไปไหนอ่ะ" เธอพูดขึ้น

"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ" ผมรีบตอบกลับไปโดยหันไปพูดแปปเดียว

"จะไปไหนอ่ะ เห็นยังแต่งตัวชุดนักศึกษาอยู่เลย" เธอพูดมาอีกครั้ง

"จะกลับหอป่าว พี่ไปส่งได้น่ะ ขึ้นมาก่อนสิ" คราวนี้เธอชวนผมขึ้นรถเลยครับ ผมก็ได้แต่หันกลับไปแล้วต่อว่าไม่เป็นไรครับ ในใจก็รอให้สัญญาณไฟของถนนอีกสายเปลี่ยนเป็นไฟแดง เพราะผมจะได้ข้ามสักที และแล้วสัญญาณไฟของถนนอีกสายก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ผมเลยรีบวิ่งไปยังฝั่งตรงข้าว เพื่อเดินไปให้ถึงป้ายรถเมล์ให้เร็วที่สุด ในขณะที่รถของเธอคนนั้นยังจอดติดไฟแดง

ผมเดินไม่นานก็ถึงป้ายรถเมล์ ซึ่งค่อนข้างเปลี่ยวมาก มีไฟสว่างแค่ดวงเดียวคือไฟถนน อยู่ติดกับต้นใหญ่ต้นใหญ่ มองดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย ผมเห็นพี่ผู้ชายเสื้อแดงคนนั้นอยู่ เลยพอเบาใจได้บ้าง ว่าจะมีคนยืนรอรถเมล์เป็นเพื่อน

ความกังวลใจที่ลดน้อยลงยังไม่ทันจางหายไป เธอคนนั้นก็ขับรถเข้ามาเทียบตรงหน้าผมพอดี

"นี่ ไปกับชั้นสิ เดี๋ยวชั้นไปส่งให้" เธอตะโกนออกมาอีกครั้ง ผมได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กลับไปให้โดยไม่พูดตอบสักคำ

"นี่ๆๆ (เสียงเริ่มสั่นๆ) ช่วยชั้นหน่อยสิ ไปกะชั้นหน่อยสิ" เธอพูดออกมาโดยเสียงค่อนข้างสั่นๆ เล็กน้อย ฉิบหายครับ เกิดมายังไม่เคยเจอสาวประเภทสองมาชวนไป "ช่วย" อะไรขนาดนี้ ผมเริ่มใจไม่ดี คราวนี้เหงื่อไหลราวกับฟื้นไข้เลยครับ ผมเขยิบเข้าไปใกล้พี่ผู้ชายเสื้อแดงที่รอรถเมล์อยู่อีกคน เพื่ออย่างน้อย พี่เค้าคงจะพอช่วยอะไรผมได้บ้าง แต่เธอก็ขยับรถเข้ามาอีก ใกล้พี่เสื้อแดงด้วย

"นี่ๆๆ ไปกะชั้นเหอะน่ะ เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน พาไปส่งที่หอ" เธอเอยปากเรียกผมอีกครั้ง ผมฟังแล้วสะดุ้งเล็กน้อยกะคำว่า "พาไปหาอะไรกิน" ในใจก็คิดว่า "มึงไม่พากูไปหาอะไรกินหรอก มึงจะพากูไปกินสิไม่ว่า" ผมเหงื่อแตก ใจไม่สู้แล้ว เลยกระเถิบไปอยู้ข้างหลังพี่เสื้อแดง หวังให้เค้าเป็นเกราะกันบังให้ผมได้บ้าง

"น้องเค้าไม่อยากไป ก็อย่าไปกวนเข้าซิ" พี่ผู้ชายเสื้อแดงพูดขึ้น แต่ออกแนวพูดขึ้นลอยๆ ไม่ได้จงใจบอกเธอคนนั้น แต่ประมาณ "ปราม" ไว้มากกว่า เธอเลยเลื่อนรถถอยออกไป แต่ก็ยังไม่ออกไปจากป้ายรถเมล์นั้น ก็ยังติดเครื่องรถรออยู่ในรถ สายตาก็มองมาที่พวกผมสองคน

"นี่ถ้าเอ็งขึ้นไปกับเขา เอ็งคงถึงหอพรุ่งนี้เช้ามั้ง" พี่ผู้ชายเสื้อแดงพูดขึ้นกับผม

"ครับ" ผมตอบกลับไป เพราะตอนนั้น ยังสตั้นท์ทำอะไรไม่ค่อยถูก เหงื่อแตกไปหมด

"แล้วนี่เอ็งจะไปอนุเสาวรีย์เหมือนกันรึ" พี่เค้ายิงคำถามมาอีกครั้ง

"ครับ ผมต้องไปต่อรถที่อนุเสาวรีย์เพื่อกลับหอครับ" ผมตอบพี่เค้าไป

"อืม คนสมัยนี้มันแปลกๆน่ะ นี่แค่เห็นเอ็งยืนรอรถเมล์ มันก็จะชวนไปไหนต่อไหนแระ" พี่เค้าเปิดประเด็นหาเรื่องคุยกับผม

"ครับ ผมก็เคยเจอครั้งนี้ครั้งแรกครับ" ผมตอบกลับไป แล้วผมก็คุยกับพี่เค้าไปเรื่อยๆ ระหว่างที่รอรถเมล์นั้น

ผ่านไปสักแปป เธอคนนั้นก็ขับรถขึ้นมาตรงหน้าผมอีกครั้ง แล้วก็ตะโกนออกมาผ่านหน้าต่างรถ "ชั้นไปก่อนน่ะ" พร้อมกับส่ง จุ๊ฟ มาให้ด้วย เอวัง! - -'

ผมกับพี่ผู้ชายเสื้อแดงก็เฉยๆ ทำเป็นไม่เห็น ไม่ได้ยินไป เธอก็ขับรถออกไปช้าๆ ก่อนที่จะเลี้ยวรถหายไป ผมหันหน้าไปมองพี่ผู้ชายเสื้อแดง พร้อมทำหน้าอึ้งๆ นิดหน่อย พี่เค้าก็ทำหน้าอึ้งๆ เช่นเดียวกัน

รอได้สักประมาณ 15 นาที รถเมล์สาย 29 ก็วิ่งผ่านมา ผมกับพี่ผู้ชายเสื้อแดงไม่รอช้าที่จะรีบขึ้นรถทันที เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังอนุเสาวรีย์ เมื่อไปถึงอนุเสาวรีย์ ผมก็ลงจากรถพร้อมกับพี่ผู้ชายเสื้อแดงคนนั้น แต่พอดีมีรถเมล์อีกคนเข้ามาพอดี จำไม่ได้ว่าสายอะไร พี่เค้าก็รีบขึ้นรถต่อไปทันที หลังจากนั้น ผมก็รอรถเมล์อีกเกือบๆชั่วโมง เมื่อรถมา ก็รีบขึ้นรถทันที นั่งรถไม่นานก็ถึงจุดหมายที่จะลง นั่นคือหน้าตลาดบางเขน แยกเสนา ผมก็ลงที่นั่นแล้ว ก็ต่อวินมอเตอร์ไซต์กลับมายังที่หอโดยปลอดภัย ถึงหอก็ประมาณตี 3 ครึ่งกว่าแล้ว เลยรีบจัดแจงอาบน้ำ แล้วเข้านอนทันที

เรื่องทั้งหมดที่ผมสาธยายเล่าให้ฟังเป็นหน้าๆเนี่ย ไม่ใช่จะอะไรหรอกครับ อันที่จริง ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง เธอคนนั้นอาจจะอยากช่วยเหลือเราจริงๆก็ได้ แต่เพราะสังคมที่เราอยู่ หลอมรวมกับข่าวสารต่างๆนาๆที่เราได้รับเข้ามาในแต่ละวัน มันทำให้เรามองไปว่า "คน(ผมไม่ระบุน่ะ ว่าเป็นสาวประเภทสองหรือใครก็ตาม) แปลกหน้าในยามวิการ ที่จะอาสาช่วยไปส่ง" มันคงไม่ปลอดภัยนักถ้าเราจะให้เขาไปส่งเราให้ที่ถึงที่หมายจริงๆ เราสามารถที่จะเลือกมองโลกแง่ดีได้เสมอ แต่ในบางครั้ง เราก็จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนมุมมองเป็นการมองโลกในแง่ตรงกันข้ามบ้างในบางสถาณการณ์เช่นเดียวกัน




นี่ถ้าเธอคนนั้นหน้าตารูปร่างเหมือนกะ ปอย ตรีชฎา น่ะ ผมจะขึ้นรถให้เธอพาไป บ๊วฟ ฟรีเลย วะห้าๆๆๆๆๆ




โต้....

April 12, 2012

การแทรกโค้ดโดยใช้ SyntaxHighlighter

สวัสดีครับ บทความนี้ขอมีสาระกับเค้าหน่อย (ฮา) พอดีว่าช่วงนี้ อยู่ในช่วงการฝึกงานครับ ซึ่งก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมาเยอะแยะเลย ผมเลยเขียนบทความลงบล็อกส่วนตัว(อีกที่นึง) เก็บไว้กันลืม กับเพื่อเผยแพร่ความรู้ใหม่ให้คนอื่นๆบ้างครับ ด้วยเหตุนี้ผมเลยไปแนะนำเพื่อนๆ ให้เขียนบล็อกกัน เพราะเห็นว่าเพื่อนๆบางคนบางท่าน น่าจะมีสาระความรู้เยอะกว่าผม สามารถถ่ายทอดความรู้ออกมาได้ดีกว่า เลยแนะนำไป และเมื่อเพื่อนๆ ต้องการที่จะแทรกโค้ดลงในบทความ เพื่อนๆก็อุส่าไปแทรกปลั๊กอินลงใน head ใน html ของ template นู้น ซึ่งมันทำได้ครับ แต่ยุ่งยาก และทำให้รูปแบบ template ของบล็อกเสียหายครับ ทำให้เราไม่สามารถตั้งค่ารูปแบบ ตั้งค่าวิตเจต หรือตั้งค่าแบบง่ายๆ ได้ (มันเจ๊ง T_T )

วันนี้่ผมเลยมีวิธีง่ายๆ ซึ่งเป็นความสามารถของ blogger (บล็อกอื่นไม่รู้ทำได้มั้ย ไม่แน่ใจอ่ะ) มาบอกกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแก้ใน HTML ของ template เลย แทั้นะ แท้นนนนนนน. . . . .......

วิธีการก็คือการใช้ SyntaxHighlighter โดยการแทรกแม่มเข้าไปในบทความเลยครับ เพราะ Blogger มีความสามารถในการรัน script ในบทความได้ด้วย (แม่ง เฉ๋งอ่ะ)
  • อันดับแรก ในบทความของเราที่ต้องการเขียน (หน้า artical editer) ให้ใส่ code นี้ลงไปครับ (แนะนำให้ใส่ในท้ายบทความ มันจะได้ไม่มั่ว) โดยการใส่ ให้เลือกการเขียนเป็นแบบ HTML ก่อน แล้วแทรกโค้ด

//อันนี้เป็นตัวลิงค์ css,theme ไปยัง SyntaxHighlighter



//อันเป็น core ของ script


//อันเยอะๆนี้เป็น brushes ที่ใช้แสดงผลว่าจะแสดงโค้ดนั้น ออกมาในภาษาใด
//แนะนำให้ใส่น้อยๆพอครับ เอาเท่าจะใช้ ยิ่งใส่เยอะ ยิ่งช้า
//ผมเห็นหลายท่าน อัดมาเต็มที่ แต่ทั้งเว็บโชว์แต่โค้ด html เอวัง - -'























//สั่งให้รัน script ได้



  • ขั้นตอนข้างต้นก็เป็นการติดตั้ง เพื่อให้สามารถใช้งานโค้ดได้ครับ ต่อมา ก็ถึงการนำไปใช้ครับ
    วิธีการนำไปใช้ ก็เพียงแค่นำแท็ก <pre> ไปครอบโค้ดได้เลยครับ เช่น
<pre class="brush:html;>

     <head>
     <title>Test</title>
     </head>
     <body>
     <?
       echo "Hello World!";
     ?>
     </body>
     </html>

</pre>



 โดยหลังแท็ก brush:javascript; ตรงนี้ เราสามารถใส่ได้เลยว่าจะให้ code blog แสดงออกมา syntax ของภาษาใด โดย brush นั้น จะต้องมีตามที่เราลงไว้ในขั้นแรก และสามารถดูการเรียกใช้ brush จาก Bundled Brushes ลิงค์นี้ได้เลยครับ

เรียบร้อยครับ การแทรกโด้ดโดยใช้ SyntaxHighlighter โดยไม่ต้องเข้าไปแก้ถึงใน html template ครับ ง่ายนิดเดียวเอง เย้เย้เย้



โต้....

April 07, 2012

ผู้หญิง

"แก เราจะลดน้ำหนักแระ อ้วนแระเนี่ย"
"เราจะไม่กินข้าวมื้อเย็นแระ จะกินแต่สลัด"
"เราไปวิ่งด้วย เราปั่นจักรยานด้วย จะได้ผอมๆ"
เพื่อนผม ทัก facebook message มาพร้อมบรรยายตามข้างต้น


หายไปสองสามวัน


ตื้อดึ้ง!! เสียง facebook message ดังขึ้น เพื่อนคนนี้ทักมาอีกแล้ว
"นี่แก ชั้นจะไปปั่นจักรยานแปปน่ะ"
"อื้อ สู้ๆ ผอมแน่ๆ" ผมตอบกลับไป

5 นาทีต่อมา

ตื้อดึ้ง!! เสียง facebook message ดังขึ้น อีกครั้ง
"แก เสร็จแระ" เพื่อนผมทักกลับมา
"เห้ย ปั่นเสร็จแล้วหรอ นี่มันพึ่ง 5 นาทีเองน่ะ" ผมตอบกลับไป
"ใช่จ๊ะ นานๆ ไม่ไหวหรอก แค่นีัพอ" เพื่อนผมตอบกลับมา
"อ่อ จ๊ะๆ"




วันรุ่งขึ้น ผมว่างทั้งวัน เลยนั่งเลยเฟสไปเรื่อยๆ แต่แอบสังเกตเห็นอย่างนึง
Status ของเพื่อนคนข้างบน

" กินไอศรีม - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"

สักพักใหญ่ๆ
" ต่อด้วยข้าวบลาๆๆ - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"

เย็นๆ
" ช็อคโกแลตเค้ก - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"

สักพักใหญ่ๆ อีก
" กินรอบค่ำๆ - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"



สองสามวันต่อมา เพื่อนผมคนนี้ก็ กล่าวประโยคแรกๆบทความนี้ใหม่อีกครั้ง
แล้วก็ทำตัวตาม step ข้างต้น เป๊ะๆ วนอย่างงี้ไปเรื่อยๆๆ




สวัสดีผู้คุณหญิง สวัสดีคุณความซับซ้อน สวัสดีคุณความเข้าใจยาก
คุณทั้งสามทำให้ผมรู้ว่า พวกคุณทั้งสามเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก 
กลมเกลียวกันจนแยกแทบไม่ออกเลยทีเดียวเชียว



บทความข้างต้นมิได้เจตนากล่าวหา โจมตี มุ่งร้ายผู้ใดแต่ประการใด
แต่เขียนเพื่อสะท้อนความนึกคิดของผู้ชายที่มีต่อผู้ญิง
ที่บางครั้ง "ยาก" ที่จะเข้าใจในการกระทำนั้นๆ




โต้