August 24, 2012

Yes or No 2 : รักไม่รักอย่ากั๊กเลย




สวัสดีฮัฟ นานๆจะได้ปัดฝุ่น อัพบล็อกสักทีครับ (ฮา) เลยขอโม้หน่อยว่าวันนี้ (Aug 23,2012) มีโอกาสได้ไปดูหนัง(ในโรง)กับเค้าซะที หลังจากผมไม่ได้ดูหนังในโรงมานานมาก ถ้านับก็ประมาณ 5-6 ปีแล้วหล่ะครับที่ไม่ได้เข้าไปดูหนังในโรงภาพยนต์เลย เพราะไม่อยากเข้าไปดูคนเดียว มันเหงา T^T

อันที่จริงก็เกือบจะไม่ได้ดูแล้วหล่ะครับวันนี้ เพราะติดนู้นติดนี่ตลอด ไหนอาจารย์จะนัด ไหนจะฝนตก ไหนจะนู้นนี่ แต่สุดท้ายก็ได้ดูครับ สมใจ "นายต๋อง" (@sOpITa_TonG) มันแระ เพราะต๋องมันว็อนท์อยากดูมานานแล้ว เห็นว่าอยากดูตั้งแต่ภาคแรกแล้วแต่ไม่ได้ดู (โถ่ น่าสงสาร) เลยมาสมหวังภาคนี้แทน ส่วนผมนั้นอยากดูมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน มาดูแผ่นเอาครับ ส่วน(อ้วน)อริส (@Arisz_Pnt) กับเย็ง(น้อย) (@MrBenjulamard) มัดมือชกครับ มาด้วยกันเลยต้องดูด้วย ฮา สรุปเลยดูกัน 4 คน (แมนทั้งนั้น - -" ) รอบ 3 ทุ่ม 20 กับที่นั่ง E11 - E14 โดยไอต๋องได้นั่งที่นั่ง 11 สมใจมันด้วย ถือว่าวันนี้ต๋องมันโชคดีสมใจ 2 ชั้นกันเลยทีเดียวเชียว #ไปหมดแระสมงสมอง



เข้าเรื่องครับ Yes or No 2 : รักไม่รักอย่ากั๊กเลย เป็นภาคต่อของภาคแรก ที่รักของ "คิม" กับ "พาย" ต้องเจออุปสรรคอันใหญ่ นั่นคือ "ระยะทาง" ที่พายต้องไปฝึกงานที่จันทบุรี ส่วนคิมนั้นไปฝึกงานในไร่ที่จังหวัดน่าน (เป็นจังหวัดที่วิวสวยมากๆครับ ชักอยากจะไปแระ) แล้วคิมดันเจอกับ "แยม" สาวเหนือน่าตาน่ารักที่เป็นเพื่อนฝึกงานด้วยกัน "ความเผลอใจ" เลยเกิดขึ้นมา ทำให้หนังออกแนวน่ารักใสๆ ผสมดราม่าร้องไห้น้ำตาท่วมจอกันเลยทีเดียวเชียว

เรื่องราวที่เหลือจะเป็นยังไง อยากให้ไปสัมผัสเองดีกว่าครับ แต่ผมกล้ารับรองว่า หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรักในอีกมุมมองได้เป็นอย่างดี ทำให้เราได้เห็นความรักของผู้หญิงกับผู้หญิงที่ไม่ได้แตกต่างจากความรักของหญิง-ชายธรรมดาๆ เลยแม้แต่น้อย ภาพสถานที่และมุมกล้องก็สวยมาก ถือได้ว่าเป็นหนังที่มีวิวสวยเป็นอันดับต้นๆก็ว่าได้ #อัยยะ คุ้มค่าที่เสียเงินดูแน่นอนครับ (และที่สำคัญ แยมน่ารักกว่าพายร้อยเท่าครับ)

และสุดท้าย ขอปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดที่ "จี้ด" เข้าไปในใจหลายคนครับ


"ถ้าจะผิด มันก็คงผิดที่เวลา .. ที่ให้เรามาเจอกับเค้าช้าเกินไป"
"ผิดที่เวลา แต่เจ็บที่เรา "














เป็นไง เจ๋งปะละ ห้าๆๆ.

June 20, 2012

Repair GRUB Windows 7

ขอจดกันลืมไวซะหน่อย พอดีเมื่อวาน(19/06/2012) น้องออกัส  ลง Ubuntu แล้วลบออก ทำให้ Grub Windows 7 หายไป มันเลยเตือนว่า
error: unknown filesystem.
grub rescue>

เลยหาวิธีแก้ให้น้องอยู่พักนึง ก็เจอวิธีแก้ไขง่ายๆ โดยใช้ แผ่นวินโดวส์ธรรมดา ซึ่งมีวิธีแก้ไขดังนี้
  • ใส่แผ่นวินโดวส์ (Windows 7 นะ) เข้าไปแล้วรอสักแปป
  • ตอนถึงหน้าจอ Install ให้เลือก “Repair Your Computer” ดังรูป
  •  จากนั้นให้เลือก “Command Prompt” ก็จะมีหน้าต่าง DOS เด้งขึ้นมา
  •  แล้วก็พิมพ์คำสั่งตามนี้ลงไปครับ
C:
cd windows\System32

bootrec /fixboot
bootrec /fixmbr

exit

  • หน้าจอ CMD DOS จะหายไป ก็ให้กด Restart ครับ

เท่านี้ก็แก้ไข GRUB ให้สามารถเข้า Windows 7 ได้แล้ว เย้เย้เย้
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บ theitbros.com ครับ




โต้....

May 28, 2012

2+2=5 ?

อยากให้ดูให้จบก่อน แล้วมาวิจารณ์กันครับ (วีดีโฺอนี้มี Subtitle เป็นภาษาไทย)



ประเทศนี้ไม่ต้องการคำถาม หรือ ข้อถกเถียงใดใด
จงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย จงคิดตาม (และจง)อย่าเห็นต่าง

ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เด็กไม่ฟั­งผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ไม่ฟังเด็ก
ปัญหาคือ เสียงจากเบื้องบนนั้น สั่งมาว่าให้เชื่ออย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

คนเห็นต่างถูกผลักดันให้เป็นอื่­น ความเป็นอื่นที่ถูกทำให้เป็นอัน­ตราย และต้องถูกกำจัดทิ้ง 
ไม่มีใครพูดถึงศพ หรือความตายของประชาชน
มันสะท้อนความจริงของรัฐที่ว่า 

"ไม่มีพื้นที่สำหรับความจริงเสมอ­ไป"

ความคิดเห็นใน Youtube จากคุณ surapongsriprom






April 27, 2012

เธอคนนั้น?

สวัสดีทุกท่านครับ ละจากการเขียนบล็อกไปเกือบ 2 สัปดาห์ครับ แหะๆ อันที่จริงแล้วผมเขียนเก็บไว้เป็น Draft ครับ ไม่ได้ Publish ออกมาครับ เพราะบางบทความมันสุ่มเสี่ยงแบบว่า เขียนไปขาอีกข้างก็อยู่ในคุกแระ (ฮา) เอาเถอะครับ ไว้ถึงเวลาที่ประเทศของเรา freedom of speech อย่างแท้จริง ผมคงมีโอกาสได้ Publish บท ความเหล่านั้นออกมาให้ได้อ่านกันครับ

เข้าเรื่องครับ วันนี้มีประสบการณ์ฮาๆ มาเล่าให้ฟังกันครับ สืบเนื่องจากเมื่อวาน(25/04/2012) ผมต้องไปส่งมาม๊า(แม่) ผมกลับบ้านครับ พอดีว่าแกมาตรวจสุขภาพที่กทม. แล้วจะนั่งรถไฟกลับ ผมเลยไปส่งแกขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง ผมเลิกจากงานก็เกือบทุ่มแล้ว เลยเลือกนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ไปลงที่สถานีหัวลำโพงเลย เพราะไวกว่ารถเมล์เยอะ (แต่ก็แพงใช้ได้เลยหล่ะ - -') และคิดว่านี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว กลัวจะไปส่งแกขึ้นรถไม่ทันเลยเลือกนั่ง mrt. ถึงสถานี้หัวลำโพงประมาณ 3 ทุ่มครึ่งกว่าๆแระ ม๊าผมนั่งรถไฟขบวน 4 ทุ่ม 45 เลยมีเวลาว่าง ผมก็นั่งไปคุยไปเรื่อยจนถึงเวลาใกล้รถออก

ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ้ง.. "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟขบวน...(จำไม่ได้) กรุงเทพ - สุราษฎานี/ยะลา ขณะนี้ รถไฟยังไม่พร้อมเทียบท่า ณ สถานีกรุงเทพ การรถไฟฯขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้"

ผมหันหน้ากลับไปหาม๊า ม๊าก็พูดขึ้นว่า "งี้แหล่ะ รถไฟไทย เอาไรมาก ถึงที่ก็พอแระ"

"ตูว่าแระ เคยมีสักขบวนมั้ย ที่มันจะตรงต่อเวลา ไม่ดีเลย์เนี่ย เห้อ" ผมพูดในใจ

แล้วผมกะป๊า ม๊าและน้องๆ ก็รอต่อไปเรื่อยๆ รอแล้วรอเล่า เวลาก็ใกล้เที่ยงคืนเรื่อย ผมก็ก็เริ่มหวั่นๆใจ เพราะรถไฟใต้ดินมีถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น เอาว่ะ เดี๋ยวค่อยต่อรถเมล์กลับก็ได้ว่ะ รอไปเรื่อยจนเวลาเลยเที่ยงคืนไปเรื่อยๆ จนกะทั่ง เสียงสวรรค์ดังขึ้นอีกรอบ

ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ้ง.. "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟขบวน...(จำไม่ได้) กรุงเทพ - สุราษฎานี/ยะลา ขณะนี้ ขณะนี้ขบวนรถไฟได้เทียบท่าที่ชานชลาที่ 5 แล้ว ขอให้ทุกท่านเตรียมสัมภาระของท่านขึ้นขบวนรถไฟได้ที่ชานชลาที่ 5 บลาๆๆ"

"รถไฟมาซะที เห้อ รอตั้งนาน" ผมพูดขึ้น เอาเถอะครับ นี้ยังดีน่ะ ที่รถออก 4 ทุ่ม 45 แต่ออกจริง เที่ยงคืน 45 ดีเลย์แค่ 2 ชั่วโมงเอง บางขบวน ผมเห็นที่บอร์ดเวลารถออก ดีเลย์เป็น 5 - 6 ชั่วโมง ยังมีเลยครับ นี้แค่ 2 ชั่วโมงดีแค่ไหนแล้ว

ส่งม๊า เสร็จเรียบร้อย แล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจครับ แต่ภาระกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ กำลังจะเกิดขึ้นครับ นั่นคือการนั่งรถกลับหอ อันที่จริง ถ้าผมนั่ง taxi กลับเรื่องพวกนี้ก็จะไม่เกิดครับ แต่ผมเป็นคนที่ไม่นั่ง taxi ครับ เพราะมันเปลืองและ(คิดว่า)อันตรายกว่าการนั่งขนส่งมวลชนจำพวก รถเมล์ มากกว่า

ต้องบอกไว้ก่อนว่า ผมมาหัวลำโพงก็หลายครั้งแล้ว (3 ครั้ง) แต่พึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ต้องกลับดึก เอาสิครับ ป้ายรถเมล์ก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน เพราะถ้าตอนกลางวัน เราเดินไปข้างๆ ก็จะมีป้ายรถเมล์อยู่เลย แต่นี่ดึกแล้ว รถไม่เข้าป้ายนี้แล้ว เลยลอง Whatsapp ถามเพื่อนดู เพื่อนก็บอกว่าให้เดินออกไปที่ที่รถแท็กซี่จอดเยอะๆ ผมเลยลองเดินดูออกไป ก็เจอป้ายรถเมล์ครับ เลยนั่งรอรถที่นั่น แบตโทรศัพท์ก็ใกล้หมดเต็มที

เวลาขณะนั้นใกล้ตี 1 แระ คนรอรถเมล์มีประมาณแค่ 3 - 4 คนเท่านั้น รอได้ประมาณ 15 นาทีก็มีรถเมล์ผ่านเข้ามา คนก็ขึ้นกันหมด เงียบสิทีนี้ เหลือผมกะลุงที่ขายของของชำจำพวกบุหรี่ ยาดมอะไรนั้นอยู่ 2 คน บรรยากาศเงียบลงทันที แบตโทรศัพท์ก็ใกล้หมด อากาศเริ่มร้อน ผมเหงื่อแตกจนรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังที่สะพายกระเป๋าอยู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจก็ร้อนรน เพราะกังวลแต่เรื่องความปลอดภัย ประกอบกับเงินประจำเดือนที่ได้จากม๊ามา ซึ่งผมมักไม่ค่อยพกเงินสดมากขนาดนี้ มันทำให้กังวลไปอีกชั้นหนึ่ง

ผ่านไปสักพัก ก็เริ่มมีคนมารอรถเมล์มากขึ้น ผมก็ค่อยๆ โล่งใจมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนรอรถเมล์เป็นเพื่อนหลายคนอยู่ ความชื้นใจยังไม่ทันได้จางหาย ผมสังเกตเห็นรถเก๋งสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดเทียบป้ายรถเมล์ เขาเลื่อนกระจกลงช้าๆ สังเกตได้ว่า เขาขับมาคนเดียว เป็นผู้หญิงหน้าตามธรรมดาๆ เมื่อจอดรถปุ๊ป ก็เรียกคนแถวนั้นที่รอรถเมล์อยู่ไปถามอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่ลงจากรถน่ะ เขาพูดโดยที่ตัวอยู่ในรถนั่นแหล่ะ ปากก็พูดไปเรื่อยๆ เรียกคนไปเรื่อยๆ แต่สังเกตได้ว่า เขาเรียกเฉพาะ "ผู้ชาย" เข้าไปคุยด้วย ผมค่อนข้างกอยู่ไกลจากที่เขาจอดรถ เลยไม่ค่อยได้ยินที่พูดกัน เห็นเพียงแต่กิริยาเท่านั้น ผ่านไปสักพัก คนแถวๆนั้นเริ่มปลีกตัวออกจากรถที่เขาจอดอยู่ เขาเรียกใครเข้าไปคุย ก็ไม่มีใครเข้าไป ผมสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ได้ จึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ

เวลาล่วงเลยมาเรื่อยๆ จนประมาณเกือบๆตี 2 ผมรอรถเมล์มาชั่วโมงกว่าแล้ว พี่ผู้ชายข้างๆ ผมที่ยืนรอมาด้วยกัน เริ่มรอไม่ไหว เลยถามลุงที่ขายของชำแถวนั้น

"เออลุง เมื่อไหรรถเมล์ที่ผ่านอนุเสาวรีย์ มันจะผ่านมาทางนี้มั่งเนี่ย ผมรอมานานแล้ว" พี่เค้าถามไป

"อ่าว จะไปอนุเสาวรีย์หรอ?" ลุงถามกลับ

"ครับ ผมจะไปต่อรถที่อนุเสาวรีย์" พี่ผู้ชายตอบกลับอย่างไว

"คุณมารอที่นี่ก็ศูนย์เปล่า ป้ายนี้กลางคืนรถที่ผ่านอนุเสาวรีย์จะไม่ผ่านป้ายนี้ คุณต้องเดินไปข้างหน้าอีกป้าย ข้ามไฟแดงข้างหน้าไป จะมีอีกป้ายนึง ตรงนั้นรถเมล์สาย 29 34 จะผ่าน" ลุงตอบ

"อ่อหรอครับ ครับๆ ขอบคุณมาก ผมก็อุส่าห์รอตรงนี้เป็นชั่วโมง ขอบคุณมากครับ" พี่ผู้ชายตอบขอบคุณลุงไป พลางเดินจากไปยังป้ายรถเมล์ข้างหน้า

"ฉิบหาย นี่ผมรอไปชั่วโมงกว่าๆเนี่ย เปล่าประโยชน์เลยหรอเนี่ย" ไอผมก็รถนึกว่ารถมันมาช้า ที่ไหนได้ ผมรอผิดป้าย นี่ถ้าไม่ได้พี่คนนี้คุยกับลุง ผมก็ไม่รู้น่ะเนี่ย เวรกรรม ผมคิดในใจ

พี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็เดินนำไปแล้ว ผมเลยกำลังจะเดินตามไป แต่มองไปยังหนทางข้างหน้าแล้ว แทบไม่มีคนเดินเลย ร้านรวงแถวนั้นก็ปิดกันหมด เหลือเพียงไฟสลัวๆริมทางเท่านั้น บรรยากาศชักวังเวงเข้าไปทุกที

"เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน" ผมคิดในใจพลางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าไปยังป้ายรถเมล์ถัดไป ระหว่างที่ผมเดินไปอยู่นั้น รถเก๋งสีน้ำเงินเข้มคันที่จอดหน้าก็เดินเครื่องออกมาทันที ราวกับว่าตามผมมา ผมเดินออกมาจากป้ายนั้นได้ประมาณไม่เกิน 10 ก้าว ผู้หญิงขับรถสีน้ำเงินเข้มคันนั้นก็เอ่ยปากเรียกผมทันทีระหว่างที่ผมเดินอยู่

"นี่ เราอ่ะ" เธอเรียกผม แต่จากน้ำเสียงที่เธอเรียกนั้น ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ เธอคือ สาวประเภทสอง ครับ ผมพยายามก้าวเท้าให้ไวยิ่งขึ้น เพื่อให้ไปถึงอีกป้ายรถเมล์

"นี่ หันมาคุยกันก่อนสิ ชั้นช่วยได้น่ะ" เธอตะโกนผ่านหน้าต่างรถเก๋งมาหาผมอีกครั้ง ผมหันไปมองพร้อมยิ้มให้เล็กน้อย เอาสิครับ เกิดมายังไม่เคยเจอสาวประเภทสองมาฉอเลาะขนาดนี้เลย ใจผมเริ่มเต้นไวขึ้น เหงื่อก็พรั่งพรูออกมาเยอะแยะ จนเสื้อกล้ามที่ใส่ไว้ข้างในถึงกับเปียกเลยทีเดียว สายตาก็จับจ้องไปแต่ข้างหน้า ไม่กล้าหันไปสับตากับเธอ เธอขับรถตามผมมาเรื่อยๆ และพยายามที่จะขับให้เข้าใกล้ผมให้ได้ ผมเลยเดินชิดริมเข้าไปใกล้ๆกับบ้านที่อยู่ติดกับแนวถนน เพื่อให้ห่างจากริมถนนมากที่สุด

"นี่ คุยเป็นเพื่อนชั้นก่อน จะไปไหนอ่ะ" เธอตะโกนออกมาอีกครั้ง ผมเริ่มใจไม่ดีแล้ว ระหว่างที่เดิน เลยหยิบเอาหูฟังมันเสียบหูซะ เพื่อทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ไม่ได้เปิดเพลงหรอก เพราะ mp3 ที่พกมาก็ดันแบตหมดอีกด้วย อะไรมันซวยขนาดนั้น ผมรีบก้าวไปเรื่อยๆ เพื่อให้ถึงป้ายรถเมล์ให้เร็ว เพราะพี่ผู้ชายเสื้อแดง ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยพี่เค้าก็ "อาจจะ" ช่วยได้

ผมเดินเรื่อยๆ จนถึงไฟแดง ผมต้องหยุดรอ เพื่อให้รถอีกสายผ่านก่อน เธอคนนั้นเลยมีโอกาสตอนที่จอดไฟแดง ขับรถมาจอดไฟแดงใกล้ผมพอดี เธอเลื่อนกระจกลง ส่งสายตา "แปลกๆ" มาหาผม

"ให้ชั้นช่วยมั้ย จะไปไหนอ่ะ" เธอพูดขึ้น

"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ" ผมรีบตอบกลับไปโดยหันไปพูดแปปเดียว

"จะไปไหนอ่ะ เห็นยังแต่งตัวชุดนักศึกษาอยู่เลย" เธอพูดมาอีกครั้ง

"จะกลับหอป่าว พี่ไปส่งได้น่ะ ขึ้นมาก่อนสิ" คราวนี้เธอชวนผมขึ้นรถเลยครับ ผมก็ได้แต่หันกลับไปแล้วต่อว่าไม่เป็นไรครับ ในใจก็รอให้สัญญาณไฟของถนนอีกสายเปลี่ยนเป็นไฟแดง เพราะผมจะได้ข้ามสักที และแล้วสัญญาณไฟของถนนอีกสายก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ผมเลยรีบวิ่งไปยังฝั่งตรงข้าว เพื่อเดินไปให้ถึงป้ายรถเมล์ให้เร็วที่สุด ในขณะที่รถของเธอคนนั้นยังจอดติดไฟแดง

ผมเดินไม่นานก็ถึงป้ายรถเมล์ ซึ่งค่อนข้างเปลี่ยวมาก มีไฟสว่างแค่ดวงเดียวคือไฟถนน อยู่ติดกับต้นใหญ่ต้นใหญ่ มองดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย ผมเห็นพี่ผู้ชายเสื้อแดงคนนั้นอยู่ เลยพอเบาใจได้บ้าง ว่าจะมีคนยืนรอรถเมล์เป็นเพื่อน

ความกังวลใจที่ลดน้อยลงยังไม่ทันจางหายไป เธอคนนั้นก็ขับรถเข้ามาเทียบตรงหน้าผมพอดี

"นี่ ไปกับชั้นสิ เดี๋ยวชั้นไปส่งให้" เธอตะโกนออกมาอีกครั้ง ผมได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กลับไปให้โดยไม่พูดตอบสักคำ

"นี่ๆๆ (เสียงเริ่มสั่นๆ) ช่วยชั้นหน่อยสิ ไปกะชั้นหน่อยสิ" เธอพูดออกมาโดยเสียงค่อนข้างสั่นๆ เล็กน้อย ฉิบหายครับ เกิดมายังไม่เคยเจอสาวประเภทสองมาชวนไป "ช่วย" อะไรขนาดนี้ ผมเริ่มใจไม่ดี คราวนี้เหงื่อไหลราวกับฟื้นไข้เลยครับ ผมเขยิบเข้าไปใกล้พี่ผู้ชายเสื้อแดงที่รอรถเมล์อยู่อีกคน เพื่ออย่างน้อย พี่เค้าคงจะพอช่วยอะไรผมได้บ้าง แต่เธอก็ขยับรถเข้ามาอีก ใกล้พี่เสื้อแดงด้วย

"นี่ๆๆ ไปกะชั้นเหอะน่ะ เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน พาไปส่งที่หอ" เธอเอยปากเรียกผมอีกครั้ง ผมฟังแล้วสะดุ้งเล็กน้อยกะคำว่า "พาไปหาอะไรกิน" ในใจก็คิดว่า "มึงไม่พากูไปหาอะไรกินหรอก มึงจะพากูไปกินสิไม่ว่า" ผมเหงื่อแตก ใจไม่สู้แล้ว เลยกระเถิบไปอยู้ข้างหลังพี่เสื้อแดง หวังให้เค้าเป็นเกราะกันบังให้ผมได้บ้าง

"น้องเค้าไม่อยากไป ก็อย่าไปกวนเข้าซิ" พี่ผู้ชายเสื้อแดงพูดขึ้น แต่ออกแนวพูดขึ้นลอยๆ ไม่ได้จงใจบอกเธอคนนั้น แต่ประมาณ "ปราม" ไว้มากกว่า เธอเลยเลื่อนรถถอยออกไป แต่ก็ยังไม่ออกไปจากป้ายรถเมล์นั้น ก็ยังติดเครื่องรถรออยู่ในรถ สายตาก็มองมาที่พวกผมสองคน

"นี่ถ้าเอ็งขึ้นไปกับเขา เอ็งคงถึงหอพรุ่งนี้เช้ามั้ง" พี่ผู้ชายเสื้อแดงพูดขึ้นกับผม

"ครับ" ผมตอบกลับไป เพราะตอนนั้น ยังสตั้นท์ทำอะไรไม่ค่อยถูก เหงื่อแตกไปหมด

"แล้วนี่เอ็งจะไปอนุเสาวรีย์เหมือนกันรึ" พี่เค้ายิงคำถามมาอีกครั้ง

"ครับ ผมต้องไปต่อรถที่อนุเสาวรีย์เพื่อกลับหอครับ" ผมตอบพี่เค้าไป

"อืม คนสมัยนี้มันแปลกๆน่ะ นี่แค่เห็นเอ็งยืนรอรถเมล์ มันก็จะชวนไปไหนต่อไหนแระ" พี่เค้าเปิดประเด็นหาเรื่องคุยกับผม

"ครับ ผมก็เคยเจอครั้งนี้ครั้งแรกครับ" ผมตอบกลับไป แล้วผมก็คุยกับพี่เค้าไปเรื่อยๆ ระหว่างที่รอรถเมล์นั้น

ผ่านไปสักแปป เธอคนนั้นก็ขับรถขึ้นมาตรงหน้าผมอีกครั้ง แล้วก็ตะโกนออกมาผ่านหน้าต่างรถ "ชั้นไปก่อนน่ะ" พร้อมกับส่ง จุ๊ฟ มาให้ด้วย เอวัง! - -'

ผมกับพี่ผู้ชายเสื้อแดงก็เฉยๆ ทำเป็นไม่เห็น ไม่ได้ยินไป เธอก็ขับรถออกไปช้าๆ ก่อนที่จะเลี้ยวรถหายไป ผมหันหน้าไปมองพี่ผู้ชายเสื้อแดง พร้อมทำหน้าอึ้งๆ นิดหน่อย พี่เค้าก็ทำหน้าอึ้งๆ เช่นเดียวกัน

รอได้สักประมาณ 15 นาที รถเมล์สาย 29 ก็วิ่งผ่านมา ผมกับพี่ผู้ชายเสื้อแดงไม่รอช้าที่จะรีบขึ้นรถทันที เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังอนุเสาวรีย์ เมื่อไปถึงอนุเสาวรีย์ ผมก็ลงจากรถพร้อมกับพี่ผู้ชายเสื้อแดงคนนั้น แต่พอดีมีรถเมล์อีกคนเข้ามาพอดี จำไม่ได้ว่าสายอะไร พี่เค้าก็รีบขึ้นรถต่อไปทันที หลังจากนั้น ผมก็รอรถเมล์อีกเกือบๆชั่วโมง เมื่อรถมา ก็รีบขึ้นรถทันที นั่งรถไม่นานก็ถึงจุดหมายที่จะลง นั่นคือหน้าตลาดบางเขน แยกเสนา ผมก็ลงที่นั่นแล้ว ก็ต่อวินมอเตอร์ไซต์กลับมายังที่หอโดยปลอดภัย ถึงหอก็ประมาณตี 3 ครึ่งกว่าแล้ว เลยรีบจัดแจงอาบน้ำ แล้วเข้านอนทันที

เรื่องทั้งหมดที่ผมสาธยายเล่าให้ฟังเป็นหน้าๆเนี่ย ไม่ใช่จะอะไรหรอกครับ อันที่จริง ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง เธอคนนั้นอาจจะอยากช่วยเหลือเราจริงๆก็ได้ แต่เพราะสังคมที่เราอยู่ หลอมรวมกับข่าวสารต่างๆนาๆที่เราได้รับเข้ามาในแต่ละวัน มันทำให้เรามองไปว่า "คน(ผมไม่ระบุน่ะ ว่าเป็นสาวประเภทสองหรือใครก็ตาม) แปลกหน้าในยามวิการ ที่จะอาสาช่วยไปส่ง" มันคงไม่ปลอดภัยนักถ้าเราจะให้เขาไปส่งเราให้ที่ถึงที่หมายจริงๆ เราสามารถที่จะเลือกมองโลกแง่ดีได้เสมอ แต่ในบางครั้ง เราก็จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนมุมมองเป็นการมองโลกในแง่ตรงกันข้ามบ้างในบางสถาณการณ์เช่นเดียวกัน




นี่ถ้าเธอคนนั้นหน้าตารูปร่างเหมือนกะ ปอย ตรีชฎา น่ะ ผมจะขึ้นรถให้เธอพาไป บ๊วฟ ฟรีเลย วะห้าๆๆๆๆๆ




โต้....

April 12, 2012

การแทรกโค้ดโดยใช้ SyntaxHighlighter

สวัสดีครับ บทความนี้ขอมีสาระกับเค้าหน่อย (ฮา) พอดีว่าช่วงนี้ อยู่ในช่วงการฝึกงานครับ ซึ่งก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมาเยอะแยะเลย ผมเลยเขียนบทความลงบล็อกส่วนตัว(อีกที่นึง) เก็บไว้กันลืม กับเพื่อเผยแพร่ความรู้ใหม่ให้คนอื่นๆบ้างครับ ด้วยเหตุนี้ผมเลยไปแนะนำเพื่อนๆ ให้เขียนบล็อกกัน เพราะเห็นว่าเพื่อนๆบางคนบางท่าน น่าจะมีสาระความรู้เยอะกว่าผม สามารถถ่ายทอดความรู้ออกมาได้ดีกว่า เลยแนะนำไป และเมื่อเพื่อนๆ ต้องการที่จะแทรกโค้ดลงในบทความ เพื่อนๆก็อุส่าไปแทรกปลั๊กอินลงใน head ใน html ของ template นู้น ซึ่งมันทำได้ครับ แต่ยุ่งยาก และทำให้รูปแบบ template ของบล็อกเสียหายครับ ทำให้เราไม่สามารถตั้งค่ารูปแบบ ตั้งค่าวิตเจต หรือตั้งค่าแบบง่ายๆ ได้ (มันเจ๊ง T_T )

วันนี้่ผมเลยมีวิธีง่ายๆ ซึ่งเป็นความสามารถของ blogger (บล็อกอื่นไม่รู้ทำได้มั้ย ไม่แน่ใจอ่ะ) มาบอกกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแก้ใน HTML ของ template เลย แทั้นะ แท้นนนนนนน. . . . .......

วิธีการก็คือการใช้ SyntaxHighlighter โดยการแทรกแม่มเข้าไปในบทความเลยครับ เพราะ Blogger มีความสามารถในการรัน script ในบทความได้ด้วย (แม่ง เฉ๋งอ่ะ)
  • อันดับแรก ในบทความของเราที่ต้องการเขียน (หน้า artical editer) ให้ใส่ code นี้ลงไปครับ (แนะนำให้ใส่ในท้ายบทความ มันจะได้ไม่มั่ว) โดยการใส่ ให้เลือกการเขียนเป็นแบบ HTML ก่อน แล้วแทรกโค้ด

//อันนี้เป็นตัวลิงค์ css,theme ไปยัง SyntaxHighlighter



//อันเป็น core ของ script


//อันเยอะๆนี้เป็น brushes ที่ใช้แสดงผลว่าจะแสดงโค้ดนั้น ออกมาในภาษาใด
//แนะนำให้ใส่น้อยๆพอครับ เอาเท่าจะใช้ ยิ่งใส่เยอะ ยิ่งช้า
//ผมเห็นหลายท่าน อัดมาเต็มที่ แต่ทั้งเว็บโชว์แต่โค้ด html เอวัง - -'























//สั่งให้รัน script ได้



  • ขั้นตอนข้างต้นก็เป็นการติดตั้ง เพื่อให้สามารถใช้งานโค้ดได้ครับ ต่อมา ก็ถึงการนำไปใช้ครับ
    วิธีการนำไปใช้ ก็เพียงแค่นำแท็ก <pre> ไปครอบโค้ดได้เลยครับ เช่น
<pre class="brush:html;>

     <head>
     <title>Test</title>
     </head>
     <body>
     <?
       echo "Hello World!";
     ?>
     </body>
     </html>

</pre>



 โดยหลังแท็ก brush:javascript; ตรงนี้ เราสามารถใส่ได้เลยว่าจะให้ code blog แสดงออกมา syntax ของภาษาใด โดย brush นั้น จะต้องมีตามที่เราลงไว้ในขั้นแรก และสามารถดูการเรียกใช้ brush จาก Bundled Brushes ลิงค์นี้ได้เลยครับ

เรียบร้อยครับ การแทรกโด้ดโดยใช้ SyntaxHighlighter โดยไม่ต้องเข้าไปแก้ถึงใน html template ครับ ง่ายนิดเดียวเอง เย้เย้เย้



โต้....

April 07, 2012

ผู้หญิง

"แก เราจะลดน้ำหนักแระ อ้วนแระเนี่ย"
"เราจะไม่กินข้าวมื้อเย็นแระ จะกินแต่สลัด"
"เราไปวิ่งด้วย เราปั่นจักรยานด้วย จะได้ผอมๆ"
เพื่อนผม ทัก facebook message มาพร้อมบรรยายตามข้างต้น


หายไปสองสามวัน


ตื้อดึ้ง!! เสียง facebook message ดังขึ้น เพื่อนคนนี้ทักมาอีกแล้ว
"นี่แก ชั้นจะไปปั่นจักรยานแปปน่ะ"
"อื้อ สู้ๆ ผอมแน่ๆ" ผมตอบกลับไป

5 นาทีต่อมา

ตื้อดึ้ง!! เสียง facebook message ดังขึ้น อีกครั้ง
"แก เสร็จแระ" เพื่อนผมทักกลับมา
"เห้ย ปั่นเสร็จแล้วหรอ นี่มันพึ่ง 5 นาทีเองน่ะ" ผมตอบกลับไป
"ใช่จ๊ะ นานๆ ไม่ไหวหรอก แค่นีัพอ" เพื่อนผมตอบกลับมา
"อ่อ จ๊ะๆ"




วันรุ่งขึ้น ผมว่างทั้งวัน เลยนั่งเลยเฟสไปเรื่อยๆ แต่แอบสังเกตเห็นอย่างนึง
Status ของเพื่อนคนข้างบน

" กินไอศรีม - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"

สักพักใหญ่ๆ
" ต่อด้วยข้าวบลาๆๆ - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"

เย็นๆ
" ช็อคโกแลตเค้ก - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"

สักพักใหญ่ๆ อีก
" กินรอบค่ำๆ - กับ บลาๆๆ @บลาๆๆๆๆๆ"



สองสามวันต่อมา เพื่อนผมคนนี้ก็ กล่าวประโยคแรกๆบทความนี้ใหม่อีกครั้ง
แล้วก็ทำตัวตาม step ข้างต้น เป๊ะๆ วนอย่างงี้ไปเรื่อยๆๆ




สวัสดีผู้คุณหญิง สวัสดีคุณความซับซ้อน สวัสดีคุณความเข้าใจยาก
คุณทั้งสามทำให้ผมรู้ว่า พวกคุณทั้งสามเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก 
กลมเกลียวกันจนแยกแทบไม่ออกเลยทีเดียวเชียว



บทความข้างต้นมิได้เจตนากล่าวหา โจมตี มุ่งร้ายผู้ใดแต่ประการใด
แต่เขียนเพื่อสะท้อนความนึกคิดของผู้ชายที่มีต่อผู้ญิง
ที่บางครั้ง "ยาก" ที่จะเข้าใจในการกระทำนั้นๆ




โต้

March 19, 2012

พจญภัย

               วันนี้เป็นครั้งแรกครับที่ผมกับเมท(ชั่วคราว)ของผม ได้ผจญภัยในเมืองหลวงของดัดจริตแลนด์แห่งนี้ฮัฟ ความรู้สึกมันหวั่นๆ น่ะ เพราะปกติก็เคยแต่สัมผัสแอร์เย็นๆใน taxi เท่านั้น ยังไม่เคยได้ลองนั่งรถสาธารณะราคาประหยัดกับเค้า (อันที่จริงไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมนั่งไม่ถูก - -')
               เอนทรีนี้ เลยขอมา memorize เส้นทาง ราคาตั๋วรถโดยสารไว้สักนิดครับ


เป้าหมาย จากหน้าหอ(ลาดปลาเค้า 52) ไป สยาม

ขาไป :
  • สองแถว(คันใหญ่)  จากหน้าหอ(ลาดปลาเค้า 52) ไป ตลาดบางเขน(สุดสาย)................... 6 บาท
  • รถเมล์ปรับอากาศ(ปอ.) สาย 60 จากหน้าตลาดบางเขน ไป อนุเสาวรีย์(สุดสาย).............. 13 บาท
  • BTS นั่งจากสถานีอนุเสาวรีย์ ไปลงสถานีสยาม .......................................................... 25 บาท


ขากลับ :
  • รถเมล์ร้อนจากป้ายหน้าอร่ามศรี พญาไทย ไป อนุเสาวรีย์............................................ 6.50 บาท
  • รถเมล์ปรับอากาศ(ปอ.) สาย 39 จากอนุเสาวรีย์ ไป หน้าตลาดบางเขน ............................ 13 บาท
  • ซูบารุ(กะป้อเล็ก คล้ายๆตุ๊กๆ) จากหน้าตลาดบางเขน ไปปากซอยลาดปลาเค้า ................. 10 บาท
 

               ฮาตอนนั่งซูบารุนี่แหล่ะ เพราะผมดันนั่งผิดคันซะงั้น จริงๆต้องนั่งคันที่เขียนว่า ลาดปลาเค้า(ตัวย่อตัว K) แต่ผมไม่ทันดู ดันไปนั่งสายเสนานิคมซะงั้น(ตัวย่อตัว T) นั่งไปจนสุดสาย พี่โชเฟอร์บอก "สุดสายแล้วน้อง!" ผมสตั้นท์ไปสามวิ "เวร! นั่งผิดสายอีกแระ ห้าๆ" แต่พี่โชเฟอร์ใจดีครับ อุตส่าห์ขับอ้อมมาส่งให้ที่หน้าปากซอยลาดปลาเค้า ใจดีมากครับ ขอบคุณมากเลยแหล่ะ แต่ผมก็ต้องเดินกลับเข้าหออีกประมาณ 1 กิโล กลับเข้าหอ (โอ้แม่เจ้า แต่ไม่มีปัญหาครับ เพราะเป็นสายที่ผมใช้เดินไปทำงาน ไปกินข้าว เลยพอชำนาญเส้นทางในระดับนึงครับ) ถือว่าออกกำลังกายแล้วกัน ฮา


สิริรวมราคาทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นเงิน 73 บาท 50 สตางค์
โดยราคา taxi เฉพาะขาไป ประมาณ 135 บาท ถ้าไปกลับรวมแล้ว 270 บาท
ทำให้เราประหยัดไปได้ถึง 196.50 บาทเชียว อัยยะ!!

สิ่งที่ได้จากการเดินทางในครั้งนี้ นอกจากความประหยัด ที่ช่วยประหยัดสตางค์ในกระเป๋าแล้ว
มันทำให้ผมมองเห็นมุมดีๆในกรุงเทพมหานครแห่งดัดจริตแลนด์แห่งนี้อีกด้วย
ทุกครั้งที่ผมถามเส้นทาง สายรถเมล์ หรืออะไรก็ตามแต่
สิ่งหนึ่งที่ยังเห็นได้เสมอ คือ "รอยยิ้ม" และ "ความใจดี" ที่ผมได้รับทุกๆครั้งที่เอ่ยปากถาม

มันทำให้เห็นว่า "ท่ามกลางความวุ่นวายเร่งรีบของชีวิตคนกรุงเทพ รอยยิ้มและน้ำใจ ยังมีให้เห็นได้เสมอ แม้มันจะน้อยนิดจนหาแทบไม่ได้แล้วในสังคมทุกวันนี้"

กูจะโลกสวยไปไหนว่ะแสรด


โต้
19/03/2012

March 17, 2012

ความเชื่อ


วันนี้เจอบทความเล็กน้อยๆของ สเด็จพ่ออนันดาแห่งกายหยาบ มาครับ
เห็นว่ามัน "ใช่" และหลายคนเองก็ไม่เคยนึกถึงจุดนี้มาก่อน เลยเอามาฝากให้ทุกคนครับ
 ขออนุญาตคงเนื้อหาไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลงน่ะครับ (มีคำหยาบนิดหน่อย)





            สมัยเรียนผมมีเพื่อนคนหนึ่ง แม่งเป็นเด็กเรียนในห้องผม เลิกเรียนมันจะกลับไปอ่านบทเรียนล่วงหน้าเสมอ แน่นอนครับว่ามันมีคนแบบนี้อยู่บน โลกจริงๆ ผมเจอมากับตัวเอง แต่หากถามว่า ที่มันอ่านล่วงหน้าเนี่ย เพื่ออะไร เพื่อความรู้ เพื่อตัวเองจะได้ฉลาด ทำข้อสอบได้ งั้นเหรอ ?? พวกนี้แม่งส่วนรอง ประเด็นหลักของมันคือ
"กูอ่านล่วงหน้าเพื่อที่คาบเรียนต่อไปกูจะได้มีอะไรเถียงอาจารย์" 
... มันชื่อไอ้แมน 
ไอ้แมนเป็นเด็กเรียนเด็กเนิร์ดที่กวนส้นตีนมาก มันเป็นเด็กเรียนที่ชอบแก้เผ็ดอาจารย์ด้วยการเถียงแบบวิชาการ ทุกคำพูดที่อาจารย์พูด อย่าได้มีอะไรผิดแม้แต่นิดเดียว แม่งเถียงกันเอาเป็นเอาตายไปข้างว่าที่กูอ่านมามันไม่ใช่แบบนี้ ผมถามมันว่า "ไอ้แมน ทำไมมึงชอบเถียงอาจารย์วะ" ไอ้แมนบอกผมว่า ...

"เด็กนักเรียนแทบทุกคนไม่กล้าเถียงอาจารย์ อาจารย์จึงลำพองว่าทุกอย่างที่ตัวเองพูดถูกเสมอ ทั้งๆที่บางครั้งการสอนนั้นก็ผิด ไม่ใช่เรื่องถูกเป๊ะไปทุกเรื่องหรอก ไม่เชื่อมึงลองไปอ่านล่วงหน้ามาสิ บางวันก็ไม่ตรงในหนังสือ พอยกมือถามยกมือแย้งก็ไม่พอใจ พวกอาจารย์นี่จะอีโก้สูง คิดว่าตัวเองถูกแน่นอน หารู้ไม่ ที่กูอ่านหนังสือล่วงหน้าเนี่ย หลายคาบเลยที่อาจารย์สอนไม่ตรงตามตำรา ถ้ากูไม่เถียง พวกมึงก็จะได้รับความรู้ที่ไม่ถูกต้องตามตำราไป กูรู้ว่าโดยรวมมันก็จะออกมาถูก แต่สอนผิดจากตำราไป กูเชื่อคนเขียนตำรามากกว่านะ กูเลยต้องเถียงเพื่อการเรียนการสอนที่ดีขึ้น"

ทุกวันนี้ ไอ้แมนแม่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ราชมงคลแห่งหนึ่ง... ผมหวังลึกๆว่าขอให้มีนักศึกษาซักคนเถียงแม่งแบบที่แม่งเคยทำ การศึกษาเราจะได้พัฒนาแม่งยิ่งๆขึ้นไป แต่ผมว่าไอ้แมนแม่งเซฟตัวเองดี แม่งไม่พลาดหรอก

by เสด็จพ่ออนันดา




ได้อ่านแล้วก็คิดได้ "เออ จริงแฮะ"
บางครั้ง การวิจารณ์ การโต้แย้ง นี่แหล่ะ คือบ่อเกิดของปัญญา
จงอย่ากลัวที่จะโต้แย้ง จงอย่ากลัวที่จะวิจารณ์ แต่จงโต้แย้งและวิจารณ์ด้วยปัญญาและข้อเท็จจริง


ไม่ใช่สักแต่พูดๆ สักแต่เถียงๆ ว่าเออกุรู้น่ะ กุเมพน่ะ อันนี้มันไม่ใช่ อันนี้มันมั่ว ทั้งที่จริงมรึงเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากกะเค้าน่ะหรอก




March 07, 2012

นิทานเซน : มิอาจปล่อยวาง


        ยังมีอุบาสกผู้หนึ่ง ไปปรึกษาอาจารย์เซนถึงวิถีแห่งเซนที่เขายังมีอาจข้ามผ่าน โดยเอ่ยถึงปัญหาของตนเองว่า "ท่านอาจารย์ จะทำอย่างไรดี กระผมมิอาจปล่อยวางเรื่องบางเรื่อง มิอาจปล่อยวางจากคนบางคน?"
      
       อาจารย์เซนตอบว่า "ทุกสิ่งล้วนสามารถปล่อยวาง"
      
       อุบาสกแย้งว่า "ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ยังคงมีสิ่งที่กระผมปล่อยวางไม้ได้"
      
       อาจารย์เซนจึงบอกให้อุบาสกผู้นี้ถือถ้วยชาใบหนึ่งไว้ในมือ จากนั้นอาจารย์เซนจึงรินน้ำชาร้อนๆ ลงไปในถ้วย รินลงไปจนน้ำชาล้นถ้วยออกมารดมือของอุบาสกที่ถืออยู่ เมื่อโดนน้ำชาร้อนลวกมือ อุบาสกจึงต้องปล่อยถ้วยชาลงพื้น
      
       ยามนั้นอาจารย์เซนจึงสอนว่า "ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจละวางได้ เมื่อเกิดทุกข์ ย่อมยอมปล่อยวางโดยธรรมชาติ"
      
       ปัญญาเซน : ละวางได้จึงไร้ทุกข์



ที่มา : http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000029728 via @ASTVManager

February 06, 2012

Great song.


วันนี้ขออนุญาต memorize เพลงเพราะๆ(ตอนนี้) ความหมายดีๆ ไว้สักหน่อย
เผื่อในสักวันนึงอนาคตข้างหน้า
จะมีโอกาสได้ย้อนกลับมาฟังนี้อีกครั้ง
กับใครสักคน



Cocktail - งานเต้นรำในคืนพระจันทร์เต็มดวง






 TONY PHEE Feat.Q flure - คนที่แสนดี




PARADOX - ปลายสายรุ้ง




~เพลงสากล (International song)~


Greyson Chance - Waiting Outside The Lines




Coldplay - Paradise




(ไว้ถ้ามีอีก เดี๋ยวจะมาเพิ่ม)

January 29, 2012

nice quote



แค่เจอ quote โดนๆ เลยเอามาแปะๆไว้ครับ

January 24, 2012

Waiting Outside The Lines

Greyson Chance - Waiting Outside The Lines 
 "ลองคิดนอกกรอบดูบ้าง"

เห็นเพลงนี้ เค้าร้องเพราะ แล้วก็ความหมายดีด้วย
ขอเอามา mem ไว้ใน blog นี้หน่อยละกัน
ขอขอบคุณ คำแปลเนื้อเพลงจาก reshavalentine.exteen.com






You'll never enjoy your life, 
living inside the box 
You're so afraid of taking chances, 
how you gonna reach the top? 
เธอจะไม่มีทางมีความสุขกับชีวิต
ถ้ายังหมกตัวอยู่แต่ในกล่องสี่เหลี่ยม
กลัวที่จะคว้าโอกาสต่างๆเอาไว้
แล้วเธอจะไปยังจุดสูงสุดได้ยังไง?

Rules and regulations, 
force you to play it safe 
Get rid of all the hesitation, 
it's time for you to seize the day 
ทั้งกฏเกณฑ์ข้อบังคับ ค่านิยม ความคิดต่างๆ
บังคับให้เธอต้องใช้ชีวิตไปตามทางที่ปลอดภัยเหมือนกับคนอื่นๆ
ทำลายความลังเลนั่นทิ้งไปซะ
ถึงเวลาที่จะต้องคว้าโอกาสดีๆไว้แล้ว

Instead of just sitting around 
and looking down on tomorrow 
You gotta let your feet off the ground, 
the time is now 
แทนที่จะมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆ
และดูถูกอนาคตของตัวเอง
ถึงเวลาที่เธอจะต้องโบยบินแล้ว
ถึงเวลาของเธอแล้วนะ

I'm waiting, waiting, just waiting, 
I'm waiting, waiting outside the lines 
Waiting outside the lines 
Waiting outside the lines 
ฉันรออยู่... รอเธออยู่
รอเธออยู่ข้างนอกกรอบความคิดนี้
รออยู่ข้างนอกกฏเกณฑ์ต่างๆ
รอเธออยู่ข้างนอกกรงที่เธอขังตัวเองไว้

Try to have no regrets 
even if it's just tonight 
How you gonna walk ahead 
if you keep living blind 
พยายามอย่าย้อนกลับไปในอดีต
ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม
เธอจะก้าวต่อไปได้ยังไง
ถ้าเธอยังเอาอดีตปิดบังทางเดินข้างหน้าไว้

Stuck in that same position, 
you deserve so much more 
There's a whole world around us, 
just waiting to be explored 
อย่ายืนนิ่งอยู่กับที่
เธอสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น
โลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมากมาย
ให้เธอได้ลองค้นหาดู

Instead of just sitting around 
and looking down on tomorrow 
You gotta let your feet off the ground, 
the time is now 
แทนที่จะมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆ
และดูถูกอนาคตของตัวเอง
ถึงเวลาที่เธอจะต้องโบยบินแล้ว
ถึงเวลาของเธอแล้วนะ

Don't wanna have to force you to smile 
I'm here to help you notice the rainbow 
Cause I know, 
What's in you is out there 
ฉันไม่อยากบังคับให้เธอยิ้ม
แต่ฉันอยู่ตรงเพื่อให้เธอรู้ว่า ยังมีสายรุ้งอยู่ที่ขอบฟ้านั้น
เพราะฉันรู้
ว่าเธอทุกๆอย่างที่จะทำให้เธอทะยานออกจากกรอบชีวิตนี้ไปได้

I'm waiting, waiting, just waiting, 
I'm waiting, waiting outside the lines 
Waiting outside the lines 
Waiting outside the lines 
ฉันรออยู่... รอเธออยู่
รอเธออยู่ข้างนอกกรอบชีวิตนี้
รออยู่ข้างนอกกฏเกณฑ์ต่างๆ
รอเธออยู่ข้างนอกกรงที่เธอขังตัวเองไว้

I'm trying to be patient (I'm trying to be patient) 
the first step is the hardest (the hardest) 
I know you can make it, 
go ahead and take it 
ฉันจะอดทนรอเธออยู่ตรงนี้
ก้าวแรกนั้นเป็นก้าวที่ยากที่สุดเสมอๆ
แต่ฉันรู้ว่าเธอทำได้
เอาสิ เธอต้องทำได้ !

I'm Waiting, waiting, just waiting I'm waiting 
I'm waiting, waiting, just waiting 
I'm waiting, waiting outside the lines 
Waiting outside the lines 
Waiting outside the lines 
ฉันรออยู่... รอเธออยู่
รอเธออยู่ข้างนอกกรอบชีวิตนี้
รออยู่ข้างนอกกฏเกณฑ์ต่างๆ
รอเธออยู่ข้างนอกกรงที่เธอขังตัวเองไว้

You'll never enjoy your life 
Living inside the box 
You're so afraid of taking chances, 
How you gonna reach the top?
เธอจะไม่มีทางมีความสุขกับชีวิต
ถ้ายังหมกตัวอยู่แต่ในกรงของตัวเอง
กลัวที่จะคว้าโอกาสต่างๆเอาไว้
แล้วเธอจะไปยังจุดสูงสุดได้ยังไง?





January 05, 2012

  Happy New Year 2012

May the peace and beauty of the season remain with you 
throughout the coming year.
With love and appreciation at New Year day and always.

To' B.BENLASENG